โรคปริทันต์คืออะไร
- โรคฟันผุ
- โรคปริทันต์
โรคฟันผุนั้นปรากฏอาการให้เห็น และรู้สึกได้ง่ายและเร็วกว่า "โรคปริทันต์" ฉะนั้นเราจึงรู้จักโรคฟันผุดีกว่า บางคนอาจไม่รู้จักโรคปริทันต์ แต่ถ้าพูดว่า "โรคเหงือก โรครำมะนาด" อาจจะทำให้รู้จักมากขึ้น
"ปริ" แปลว่า "รอบ ๆ", "ทันต์" แปลว่า "ฟัน" ดังนั้นโรคปริทันต์ จึงหมายถึง โรคที่เกิดกับอวัยวะรอบฟัน นั่นคือเหงือกและกระดูกเบ้าฟัน
โรคปริทันต์ ในระยะแรก ๆ นั้นมักไม่ใคร่เจ็บปวด ฉะนั้นเราจึงอาจไม่ได้สังเกตุอาการที่เริ่มทีละน้อย เช่น เหงือกเริ่มบวมฉุ ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ หรือ แม้แต่การที่มีเลือดออกเวลาแปรงฟัน บางครั้งนึกว่าอายุมากขึ้น เหงือกจะร่นขึ้นไปตามวัย 4 ใน 5 ของคนวัยรุ่น และ วัยผู้ใหญ่มักเป็นโรคปริทันต์ โดยที่ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มนุษย์เราสูญเสียฟัน โดยมีสาเหตุจาก "โรคปริทันต์" มากกว่าสาเหตุอื่น ๆ อย่างไรก็ตามโรคปริทันต์ส่วนใหญ่สามารถป้องกัน และ รักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตรวจพบ และ รีบรักษาในระยะแรก ๆ
โรคฟันผุ
โรคปริทันต์
สาเหตุสำคัญของโรคปริทันต์ คือ คราบจุลินทรีย์ (Bacterial Plaque )
กรด จะทำลายเคลือบฟันทำให้ ฟันผุ
สารพิษ จะทำให้เหงือกอักเสบเกิด

คราบจุลินทรีย์สะสมบนตัวฟันก่อนย้อมสี

คราบจุลินทรีย์หลังย้อมสี
สาเหตุร่วมที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์
- การมีเศษอาหารติดแน่นหรือค้างตามซอกฟัน และตัวฟันเนื่องจาก
- ฟันสัมผัสกันผิดปกติ เช่น หลวมเกินไป หรือ เว้นช่องว่างไม่พอดี
- ฟันเก
- ฟันไม่อยู่ในระดับเดียวกัน เช่น ถอนฟันล่างไปแล้วไม่ได้ใส่ ทำให้ฟันบนตรงข้าม ยื่นยาวลงมา ดังนั้นระดับของฟันบนที่ยื่นลงมากับฟันข้างเคียง จึงไม่อยู่ในระดับเดียวกัน จากสาเหตุ ข้อ 1.1- 1.3 นั้น เมื่อรับประทานอาหารจึงมักมีเศษอาหารติดแน่นตามซอกฟัน โดยมีแรงอัดเข้าซอกฟัน กดบนเหงือก ทำให้เหงือกอักเสบและเกิดเป็นโรคปริทันต์ได้
- การมีขอบวัสดุอุดฟันเกินออกมา ทำให้เป็นที่สะสมของคราบจุลินทรีย์ และขัดขวางการทำความสะอาด เช่น ทำให้ใยไนล่อนขาดระหว่างการทำความสะอาด ซอกฟัน
- การมีฟันปลอมที่หลวมหรือแน่นเกินไป หรือไม่ถูกต้อง เช่น การมีเหงือกอักเสบใต้ฟันปลอมที่หลวม
- สาเหตุร่วมทางร่างกายที่ทำให้โรคปริทันต์เป็นรุนแรงขึ้น เช่น ระยะวัยรุ่น ระยะตั้งครรภ์ และหมดประจำเดือน ซึ่งมีระดับฮอร์โมนเปลี่ยนไป ผู้ที่อยู่ในวัยดังกล่าว ถ้ามีสภาพเหงือกที่แข็งแรงอยู่แล้ว จะไม่เป็นโรคปริทันต์ แต่ถ้ามีการอักเสบของเหงือกอยู่ จะทำให้เป็นมากขึ้นกว่าปกติ
- สาเหตุร่วมทางร่างกายอื่น ๆ อาจเกิดจากการขาดอาหารบางชนิด โรคทางด้านจิตใจ โรคลมบ้าหมู ซึ่งผู้ป่วยรับประทานยาพวก Dilantin ( มีแนวโน้มทำให้เหงือกโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรักษาความสะอาดไม่ดี ) โรคเลือดต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่ร่างกายมีความต้านทาน และการซ่อมแซมต่ำ เป็นต้น

หินปูนเกาะบริเวณคอฟันและซอกฟัน

ฟันสัมผัสกันผิดปกติและไม่อยู่ระดับเดียวกัน

ฟันเกมีคราบจุลินทรีย์และหินปูน

ฟันบนยื่นลงมา เพื่อจะปิดช่องว่างฟันล่างที่ถอนแล้วไม่ใส่

ขอบวัสดุ ครอบฟันที่เกิน

เหงือกอักเสบรอบฟันที่ครอบไม่ดี

การอักเสบใต้ฟันปลอมที่หลวม

เหงือกอักเสบในวัยรุ่น

เหงือกที่อักเสบ บวม แดง

การที่ฟันเคลื่อนห่างจากเดิม
ขั้นตอนการเกิดโรคปริทันต์
ท่านมีอาการอย่างนี้หรือไม่- แปรงฟันแล้วมีเลือดออก
- เหงือกบวมแดง
- มีกลิ่นปาก
- เหงือกร่นมีหนองออกจากร่องเหงือก
- ฟันโยก
- ฟันเคลื่อนห่างจากกัน
ถ้าท่านมีอาการดังกล่าว แสดงว่า โรคปริทันต์ได้มาเยี่ยมเยือนท่านแล้ว ถ้าท่านละเลยการทำความสะอาดฟัน จะทำให้คราบจุลินทรีย์สะสมตัวบนฟันมากขึ้น ทำให้เกิด โรคปริทันต์ได้
โรคปริทันต์นั้นขบวนการที่เกิดต่อเนื่องกัน แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นจึงแยกออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ
- ขั้นที่ 1
เหงือกอักเสบ บวม แดง ปกติเหงือกจะมีสีชมพูซีด และรัดแน่นรอบคอฟัน โดยมีร่องเหงือกลึกประมาณ 0.5 - 3 ม.ม. การวัดความลึกของร่องเหงือกใช้เครื่องมือ เรียกเครื่องมือตรวจปริทันต์ ( Periodontal Probe ) เมื่อคราบจุลินทรีย์สะสมมากขึ้นบนตัวฟัน โดยเฉพาะใกล้ขอบเหงือกและเข้าไปในร่องเหงือก ทำให้สารพิษซึ่งอยู่ในคราบจุลินทรีย์ซึมผ่านเข้าไปในเหงือกได้ จึงเกิดการอักเสบของเหงือกขึ้น การอักเสบจะทำให้เหงือกไม่รัดแน่นกับตัวฟัน ทำให้คราบจุลินทรีย์สามารถเข้าไปในร่องเหงือกง่ายขึ้น และทำอันตรายมากขึ้น ร่างกายจะต่อสู้โดยส่งเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น โดยหลอดเลือดบริเวณนั้น จะขยายใหญ่ขึ้น เหงือกจึง บวม แดง และมีการอักเสบดังนั้นเมื่อโดนแปรงหรือแรงกดใดเพียงเบา ๆ จะทำให้เลือดออกได้
การให้การรักษาที่ถูกต้องและการรักษาสุขภาพช่องปากอย่างดีในระยะแรกนี้ สามารถหยุดโรคเหงือกอักเสบนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เหงือกสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้
- ขั้นที่ 2
ถ้าละเลยให้คราบจุลินทรีย์สะสมมากขึ้น จะทำให้คราบจุลินทรีย์บุกรุกเข้าไป ในร่องเหงือกมากขึ้นไปอีก ร่องเหงือกก็จะยิ่งลึกยิ่งขึ้น เนื่องจากการทำลายของเส้นใยเหงือก ถ้าร่องเหงือกลึกเกิน 3 ม.ม. เรียกร่องเหงือกนั้นว่า ร่องลึกปริทันต์ (Periodontal Pocket) ซึ่งร่องลึกปริทันต์นี้ทำความสะอาดได้ยากมาก และจะทำความสะอาดเองไม่ได้เลย เมื่อคราบจุลินทรีย์เปลี่ยนเป็นหินปูน สารพิษจากคราบจุลินทรีย์ในร่องลึกปริทันต์ 4 ม.ม. นี้สามารถทำลายกระดูกใกล้เคียงได้
การรักษากับการทำความสะอาดอย่างถูกต้องจะทำให้การดำเนินของโรคช้าลง หรือหยุดได้ แต่เหงือกและกระดูกไม่สามารถจะกลับสู่สภาพเดิมได้ อย่างสมบูรณ์
- ขั้นที่ 3
คราบจุลินทรีย์จะสะสมมากขึ้น ทำใหัเกิดการสูญเสียกระดูกเบ้าฟัน และร่องลึกปริทนต์ จะเลื่อนไปทางปลายรากฟันมากขึ้น จะมีหนอง เกิดภายในร่องลึกปริทนต์ แล้วซึมเข้าไปภายในช่องปาก ทำให้มีกลิ่นปาก
การรักษาร่วมกับการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง ยังคงหยุดการดำเนินของโรคในขั้นนี้ได้
- ขั้นที่ 4
ในขั้นนี้จะมีการสูญเสียกระดูกเบ้าฟันไป ประมาณครึ่งหนึ่ง และเหงือกจะร่นตามไปด้วย ทำให้เห็นฟันยาวขึ้น บางครั้งเหงือกจะไม่ร่นตามกระดูก แต่จะใหญ่ขึ้นเพราะมีการอักเสบระยะนาน ทำให้มักเข้าใจผิดไปว่าปกติ อันที่จริงแล้วมีโรคอยู่ข้างใต้ จะมีอาการปวด บวม เป็นฝี เนื่องจากการระบายหนองออกจากร่องลึกปริทันต์ติดขัด เมื่อฝีแตกก็จะหายปวด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะหายขาด จะเป็น ๆ หาย ๆอยู่เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะมีการละลายของกระดูกมากขึ้น ทำให้ฟันโยกมากขึ้นในที่สุดจะถึงขั้นที่ 5
- ขั้นที่ 5
ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้าย เนื่องจากมีการละลายตัวของกระดูกเบ้าฟันมาก จนเกือบถึงปลายราก ฟันโยกมาก เพราะไม่มีกระดูกมายึดไว้ซึ่งในขั้นนี้ไม่สามารถรักษาใด ๆ ได้ นอกจากต้องถอนฟันทิ้งไป

เหงือกปกติมีร่องเหงือกลึก 2 มม.

ขั้นที่ 1 ของโรคปริทันต์

ขั้นที่ 2 ของโรคปริทันต์

ขั้นที่ 3 ของโรคปริทันต์

ขั้นที่ 4 ของโรคปริทันต์

ขั้นที่ 4 ของโรคปริทันต์เมื่อเหงือกไม่ร่น

ขั้นที่ 5 ของโรคปริทันต์
ท่านสามารถป้องกันโรคปริทันต์ได้หรือไม่
เนื่องจากคราบจุลินทรีย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์ แต่ท่านสามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้ โดยการทำความสะอาดฟันและเหงือกอย่างถูกต้อง ดังนั้น ท่านสามารถป้องกันโรคปริทันต์ได้แน่นอน โรคปริทันต์จะไม่เกิดขึ้น ถ้าท่าน
- แปรงฟันและทำความสะอาดซอกฟันอย่างถูกต้อง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์
- พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจว่ามีคราบจุลินทรีย์และหินปูนที่หลงเหลือ จากการทำความสะอาดเองหรือไม่มีฟันผุหรือไม่ จะได้รับการรักษาได้ในระยะเริ่มแรก